บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: นิตยสารลานโพธิ์ | เผยแพร่เมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ภาพและเรื่องโดย: สุธน ศรีหิรัญ (บันทึกจากความทรงจำ)
เหรียญประทับบัลลังก์ กาญจนาภิเษก ครองราชย์ครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือ “เหรียญนั่งบัลลังก์” ตามภาษานักสะสม
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ผมรับราชการอยู่กรมแรงงาน ในสมัยนั้นยังสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีความคุ้นเคยกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทางสายปกครองหลายท่าน โดยเฉพาะท่าน ณัฏฐ์ ศรีวิหค (ภายหลังเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และกรรมการ ป.ป.ช)
ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองราชสมบัติครบ ๕๐ ปี กระทรวงมหาดไทยสมัยนั้น ท่านพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และมีท่านปลัดอารีย์ วงศ์อารยะ เป็นปลัดกระทรวง ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ตามคำสั่งที่ ๒๗๐๘/๒๕๓๗ ลงวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๗ ส่วนใหญ่มีผู้อำนวยการกองต่างๆ และผู้แทนกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นคณะกรรมการ ส่วนผมเข้าไปเป็นกรรมการในส่วนของกรมแรงงาน และฐานะผู้มีประสบการณ์ในการสร้างเหรียญมาก่อน โดยการชักชวนจากท่านณัฏฐ์ ศรีวิหค คณะกรรมการชุดนี้มี ท่านประภาษ บุญยินดี (ตำแหน่งหลังสุดเป็น รองปลัดกระทรวงมหาดไทย) ขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการกองกลางกระทรวงมหาดไทย เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ หมายถึงเป็นเจ้าของงานหรือแม่งานก็ว่าได้ และคุณนฤมล ปาลวัฒน์ (ตำแหน่งหลังสุดเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน) หัวหน้าฝ่ายสวัสดิการและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการ
มีการประชุมหลายครั้งหลายหน ผู้เขียนจำไม่ถนัดว่ากี่ครั้ง เอาเป็นว่าหลังจากประชุมกันแล้วก็สรุปว่า จะสร้าง เหรียญประทับบัลลังก์ และ รูปปั้นประทับบัลลังก์
โดยสรุปในการประชุมครั้งแรก คือ
๑. รูปปั้นประทับบัลลังก์ เนื้อโลหะ จำนวน ๒๕,๓๙๐ องค์
๒. เหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์ ) ประกอบด้วย
๒.๑ เนื้ออัลปาก้า ๕,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ จำหน่ายเหรียญละ ๕๙ บาท
๒.๒ เนื้อทองคำ ๒๕,๓๐๐ เหรียญ
๒.๓ เนื้อเงิน ๕๐,๐๐๐ เหรียญ
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว กระทรวงมหาดไทยก็นำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังจากหนังสือขอพระบรมราชานุญาตผ่านไปไม่นาน คณะกรรมการชุดนี้ก็เรียกประชุมอีกครั้ง เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๓๘ (ขณะนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้เปลี่ยนเป็น พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์ แล้ว)
ในการประชุมครั้งนี้ที่ประชุมแจ้งให้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกระแสปรารภว่า
“ถ้าราคาสูงไป ประชาชนชาวไทยที่อยากได้ จะมีโอกาสไม่ทั่วถึง”
ที่ประชุมก็ได้ถกเถียงกันว่า เหรียญเนื้ออัลปาก้าที่จะจำหน่ายเหรียญละ ๕๙ บาทนั้น คือ เหรียญที่ประชาชนส่วนใหญ่จะมีโอกาสได้ ควรจะราคาเท่าใดดี เมื่อสอบถามราคาต้นทุนแล้วจำได้ว่า ประมาณเหรียญละ ๕ บาท กรรมการจึงตกลงกันว่าจะจำหน่ายเหรียญละ ๑๐ บาท
ท่านณัฏฐ์ ศรีวิหค ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ได้เสนอในที่ประชุมว่า ตัวเลข ๙ น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะเป็นแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ ที่ประชุมเห็นชอบด้วยทั้งหมด จึงสรุปว่า เหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์) เนื้ออัลปาก้า จำหน่ายเหรียญละ ๙ บาท ส่วนรูปหล่อประทับบัลลังก์ และเหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์) เนื้อทองคำ ตลอดจนเหรียญเงิน ตามที่กำหนดไว้เป็นจำนวนมากนั้น ไม่น่าจะมีการจำหน่ายได้มากขนาดนั้น คณะกรรมการจึงขอดูกระแสความต้องการที่แท้จริงก่อนว่าจะสร้างจำนวนเท่าใดแน่นอน
หลังจากนั้นก็อยู่ในการดำเนินการสร้างต่อไป โดยรูปปั้นนั้นได้มอบให้อาจารย์เศวต เทศน์ธรรม เป็นผู้ปั้น ส่วน เหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์) นั้น มอบให้ “โรงงานง้วนจั๊ว” เป็นผู้ดำเนินการ ให้ “ช่างชัย ศรีรองเมือง” เป็นผู้แกะแม่พิมพ์
ขณะนั้นเวลาใกล้งานเข้ามา ทางโรงงานปั๊มเหรียญเกรงว่าจะปั๊มได้ไม่ทันเวลา เพราะเป็นจำนวนมาก คณะกรรมการได้ประชุมแล้วมอบให้ “โรงงานโสภณ โลหะภัณฑ์” แบ่งงานปั๊มเนื้ออัลปาก้าออกไป ๓,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ ส่วน “โรงงานง้วนจั๊ว” ปั๊มเนื้ออัลปาก้า ๒,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ และเหรียญเนื้อทองคำ และเนื้อเงินทั้งหมด
จำนวนเหรียญที่แน่นอนคือ เนื้ออัลปาก้า ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากโรงงานโสภณโลหะภัณฑ์ ๓,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ ได้รับบล็อกไป แต่บล็อกที่ได้รับไปทาง ช่างโสภณ ศรีรุ่งเรือง ได้นำไปแกะเติมแต่งให้คมชัดขึ้น โดยเฉพาะในส่วนปลายกระบี่ที่ยาวขึ้น และพระพักตร์ ตลอดจนเส้นเกศาและเครื่องทรงให้คมชัดขึ้น และถ่ายบล็อกออกไปอีกหลายบล็อก แต่ทุกบล็อกจะเหมือนกัน คือ คมชัด (ภายหลังมีการเรียกกันว่า บล็อกกระบี่ยาว) เหตุที่ต้องถ่ายบล็อกออกไปอีกหลายบล็อก เพราะต้องปั๊มเหรียญจำนวนมากถึง ๓,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ และเป็นการปั๊มเหรียญเนื้ออัลปาก้าซึ่งมีความแข็งมาก บล็อกจึงชำรุดง่าย ต้องเปลี่ยนบล็อกบ่อย และต้องปั๊มจากเครื่องปั๊มหลายเครื่อง เพื่อให้ทันงาน ดังนั้นเหรียญจากโรงงานนี้จึงเป็นเหรียญพิมพ์กระบี่ยาวทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเนื้ออัลปาก้า
ส่วนเหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์) เนื้อเงิน และทองคำ ที่เป็นพิมพ์กระบี่ยาว (หรือบล็อกนิยม) นั้น จะมีหูเหรียญเหมือนเหรียญอัลปาก้าแต่ไม่เจาะรู เป็นเหรียญที่คณะกรรมการทำกันไว้ใช้เอง มีเนื้อทองคำโดยประมาณ ๒๐ เหรียญ และเงินโดยประมาณ ๓๐๐ เหรียญ เท่านั้น จะมี “โค้ดสิงห์” ทั้งเหรียญเนื้อทองคำและเนื้อเงิน ตอกโค้ดเดียวบ้าง สองโค้ดบ้าง
ส่วนเหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์ ) เนื้ออัลปาก้า อีก ๒,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ ซึ่งได้ให้โรงงานง้วนจั๊วปั๊ม ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นพิมพ์กระบี่สั้นทั้งหมด
รวมทั้งเหรียญเนื้อทองคำ (ไม่มีหู) และเงินที่จำหน่าย (ไม่มีหู) จะเป็นพิมพ์เดียวกันทั้งหมด จะมี “โค้ดสิงห์” เฉพาะเหรียญทองคำ ส่วนเหรียญเงินไม่ได้ตอกโค้ด
เรื่องจำนวนเหรียญทองคำและเงิน ตลอดจนรูปปั้นนั้น ได้สอบถามจากท่านประภาษ บุญยินดี ซึ่งเป็นเลขานุการคณะกรรมการ หรือแม่งานการสร้าง ขณะเป็นผู้อำนวยการกองกลาง กระทรวงมหาดไทย ท่านจำได้ว่า “เหรียญทองคำไม่เกิน ๕๐๐ เหรียญ ส่วนเหรียญเงินประมาณ ๕,๐๐๐ เหรียญ ส่วนตัวเลขชัดเจนจริงๆ ท่านจำไม่ได้ ส่วนรูปปั้นก็ประมาณ ๕๐๐ องค์”
เหรียญเนื้อเงิน มีเหลือตกค้างมาจนปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประมาณ ๒,๐๐๐ เหรียญ ผู้เขียนได้นำมาลงประชาสัมพันธ์ให้กระทรวงมหาดไทยใน ลานโพธิ์ ฉบับที่ ๑๐๕๙ เพื่อให้คนไปบูชา เหรียญละ ๙๐๐ บาท ที่กลุ่มงานสวัสดิการและประโยชน์เกื้อกูล กองการเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย เพื่อนำรายได้เข้างานสวัสดิการข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
เหรียญนี้ได้ทำพิธีมังคลาภิเษกที่ โบสถ์วัดรังษี (ในวัดบวรนิเวศวิหาร) เนื่องจากเหรียญมีจำนวนมาก เอาเข้าปลุกเสกที่โบสถ์วัดบวรนิเวศวิหารไม่ได้ ต้องเอามาทำพิธีที่โบสถ์วัดรังษี เพื่อเอารถสิบล้อขนเหรียญจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ เหรียญ ไปวางไว้ที่สนามบาสเกตบอล โรงเรียนวัดบวรฯ แล้วโยงสายสิญจน์จากในโบสถ์วัดรังษี ซึ่งอยู่ใกล้กันนั้นมาได้ สำหรับเหรียญทองคำและเงินเอาไว้ในโบสถ์ พร้อมพระบรมรูปปั้นจำนวนหนึ่ง พระที่มาทำพิธีมังคลาภิเษกเท่าที่ผู้เขียนจำได้มี สมเด็จพระญาณสังวรฯ เป็นประธาน ส่วนเกจิอาจารย์ที่มาร่วมพิธีนี้เท่าที่จำได้ คือ
๑. หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังก์วิเวการาม
๒. หลวงพ่อลำใย วัดลาดหญ้า
๓. หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ
๔. หลวงพ่อดี วัดพระรูป
๕. หลวงพ่อหงษ์ วัดเพชรบุรี
๖. หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง
๗. หลวงพ่อเฉลิม วัดพระญาติ
ส่วนที่เหลือผู้เขียนจำไม่ได้อีก ๒ องค์ สอบถามจากกรรมการชุดนั้นไม่มีใครจำได้แน่นอน
เหรียญประทับบัลลังก์ (เหรียญนั่งบัลลังก์) นี้ เป็นเหรียญที่มีอานุภาพจากพระบารมี และผ่านพิธีมังคลาภิเษกมาแล้ว จึงเป็นเหรียญที่มีประสบการณ์มากมาย ผู้เขียนเคยบันทึกไว้ใน นิตยสาร ลานโพธิ์ ฉบับที่ ๙๕๔ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ จะขอนำมาเสนออีกครั้ง ดังนี้
ข่าวจาก หนังสือพิมพ์ข่าวสด ประจำวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ปรากฏภาพข่าวหน้าหนึ่ง มีรูปตำรวจชื่อ ส.ต.อ.ปราการ คันธมูล สายตรวจ สภ.อ.บางปู สมุทรปราการ ถูกคนร้ายยิงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ระหว่างดวลปืนกับโจร ด้วยพระบารมีปกป้องคุ้มครองจากเหรียญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รุ่นกาญจนาภิเษก นั่งบัลลังก์ เนื้อหาของข่าวรายละเอียดปรากฏ ดังนี้
เหรียญในหลวงคุ้ม! ตร.ดวลโจร-แค่ถาก
ส.ต.อ. ดวลดับตีนแมวมหากาฬ แต่โดนยิงสวนบาดเจ็บเล็กน้อย เชื่อเป็นเพราะบารมี เหรียญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ห้อยติดตัวตั้งแต่เริ่มรับราชการใหม่ๆ ก่อนหน้านี้เคยถูกจ่อยิงเผาขนมาแล้วตอนไประงับเหตุวิวาท แต่เหลือเชื่อกระสุนด้าน เผยตีนแมวเจาะหลังคาย่องเข้าร้านมือถือ เจ้าของตื่นขึ้นมาได้ยิน โทร. เรียกตำรวจมาจัดการ พังประตูเข้าไปเผชิญหน้ากันแบบจะจะ ถูกยิงใส่ก่อนเลยตอบโต้กลับไป ตีนแมวถูกยิงสาหัสไปสิ้นใจที่ ร.พ. ฝ่ายตำรวจเจ็บ ๒ นาย
เมื่อเวลา ๐๕.๓๐ น. วันที่ ๖ มิ.ย. พ.ต.ท.วิรัตน์ ด้วงสำรวย สารวัตรเวรสอบสวน สภ.ย่อยบางปู อ.เมือง จ.สมุทรปราการ รับแจ้งเหตุคนร้ายยิงต่อสู้กับตำรวจ มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ภายในบ้านเลขที่ ๒๑๒/๙ ม.๗ ต.บางปูใหม่ จึงรายงานผู้บังคับบัญชาพร้อมด้วย พ.ต.ท.สง่า ธีรศรัณยานนท์ รอง ผกก.หน.สภ.ย่อยบางปู, พ.ต.ท.ประเวทย์ ต้นสมบูรณ์ รอง ผกก.สส.สภ.อ.เมืองสมุทรปราการ พ.ต.ท.ณัฏฐวัชร์ ปุ้งโพธิ์ สวป. รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เป็นอาคารพาณิชย์ ๒ ชั้น เปิดเป็นร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ชื่อร้านบางปูนครเทเลคอม ภายในห้องครัวหลังบ้านพบกองเลือดจำนวนมาก ปลอกกระสุนปืนขนาด ๙ มม. ๑๖ ปลอก อาวุธปืนขนาด ๙ มม. ของคนร้ายจำนวน ๑ กระบอก กระเป๋าเดินทางหนังสีดำด้านในบรรจุอุปกรณ์ที่ใช้ในการงัดแงะ เช่น คีม ประแจ ค้อน โดยหลังคาห้องครัวถูกเจาะเป็นช่องขนาดใหญ่
สำหรับคนเจ็บมี ๓ ราย คือ ส.ต.อ.ปราการ คันธมูล ตำรวจสายตรวจ สภ.ย่อยบางปู ถูกยิงเข้าที่ต้นขาขวา ๑ นัด, นายสายันต์ ทองรอด อายุ ๒๑ ปี อาสาสมัคร สภ.ย่อยบางปู ถูกยิงที่แขนซ้าย ๑ นัด และ นายวิชัย นามทอง อายุ ๔๑ ปี คนร้ายถูกยิงเข้าที่ขาซ้าย ๑ นัด ขาขวา ๓ นัด ชายโครง ๑ นัด รวม ๕ นัด ตำรวจและหน่วยพยาบาลที่เดินทางมาก่อนช่วยนำส่งโรงพยาบาล ร.พ.รัทรินทร์ บางปู ไปก่อนแล้ว ต่อมาทราบว่านายวิชัยทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในเวลาต่อมา
ด.ต.ณรงค์ วงศ์มาดิษฐ์ สายตรวจ สภ.ย่อยบางปู ที่อยู่ในเหตุการณ์ระทึกให้การว่า ขณะที่กำลังออกตรวจพื้นที่อยู่นั้น ได้รับแจ้งเหตุทางวิทยุว่ามีคนร้ายลอบเข้าไปภายในบ้านเกิดเหตุ จึงพร้อมด้วย ส.ต.อ.ปราการ และ นายสายันต์ เดินทางมาตรวจสอบ พบว่าภายในห้องครัวมีคนร้ายอยู่ภายใน จึงตะโกนให้ยอมมอบตัว แต่ไม่มีเสียงตอบออกมา จึงตัดสินใจพังประตูเข้าไป พบนายวิชัยถือปืนพกขนาด ๙ มม. และเปิดฉากยิงใส่ก่อน ตำรวจจึงยิงตอบโต้กลับไป โดยยิงต่อสู้กันอยู่หลายนาที คนร้ายถูกยิงหลายนัดจมกองเลือด ในขณะที่ ส.ต.อ.ปราการ และนายสายันต์ก็ได้รับบาดเจ็บไปด้วย จึงวิทยุแจ้งผู้บังคับบัญชาและรถพยาบาลให้มาช่วยเหลือคนเจ็บ
นายยุทธนา เอี่ยมแจ้งพันธ์ อายุ ๓๐ ปี เจ้าของร้านบางปูนครเทเลคอม ให้การว่า ขณะเกิดเหตุตนนอนอยู่ชั้น ๒ ของร้าน ได้ยินเสียงคล้ายกับมีคนอยู่ในห้องครัว จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ และระหว่างที่มีการยิงต่อสู้ ไม่กล้าที่จะออกจากห้อง จนตำรวจขึ้นไปเรียก
ด้าน ส.ต.อ.ปราการ ตำรวจที่ดวลกับคนร้ายกล่าวว่า ขณะเปิดประตูห้องครัว ประจันหน้ากับคนร้าย และยิงดวลปืนกันจำนวนหลายนัด ในระยะกระชั้นชิด การที่รอดชีวิตในครั้งนี้เป็นเพราะบารมีองค์ในหลวง เนื่องจากตนแขวนเหรียญรูปในหลวงติดตัวตลอดเวลา ตั้งแต่เข้ารับราชการเป็นตำรวจ เนื่องจากสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยเหรียญดังกล่าวได้มาเมื่อครั้งเรียนจบจาก ร.ร.ตำรวจภูธร ๑ สระบุรี และเข้ารับราชการครั้งแรกที่ สภ.อ.เมือง นนทบุรี ซึ่งผกก.สภ.อ.เมืองนนทบุรี ในสมัยนั้นให้แขวนติดตัวไว้
เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเคยถูกคนร้ายยิงใส่ในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้มาแล้ว ๑ ครั้ง ระหว่างเข้าไประงับเหตุทะเลาะวิวาท แต่กระสุนของคนร้ายด้าน กระทั่งมาในครั้งนี้ ยิงสู้กับคนร้ายในระยะเผาขน แต่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เชื่อว่าเป็นเพราะบารมีเหรียญในหลวงช่วยคุ้มครอง
=========
อ้างอิง: ลานโพธิ์ ฉบับที่ ๑๒๐๑ เหรียญประทับบัลลังก์ กาญจนาภิเษก ครองราชย์ครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือ เหรียญนั่งบัลลังก์ ตามภาษานักสะสม ปักษ์หลัง เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙
ภาพและเรื่อง: โดย สุธน ศรีหิรัญ (บันทึกจากความทรงจำ)