อยากปั้น “ในหลวง” ให้คนตาบอดได้สัมผัส “อัษฎายุธ อยู่เย็น” ประติมากร วัย ๒๘ ปี
0

บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: ผู้จัดการ Online | เผยแพร่เมื่อ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๗

อยากปั้น “ในหลวง” ให้คนตาบอดได้สัมผัส “อัษฎายุธ อยู่เย็น” ประติมากร วัย ๒๘ ปี

เป็นเวลา ๕ ปี แล้วที่ อ๊อบ – อัษฎาวุธ อยู่เย็น ศิษย์เก่าสาขาประติมากรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เข้ารับราชการในตำแหน่งประติมากรของสำนักช่างสิบหมู่ และกลุ่มงานประติมากรรม กรมศิลปากร

อ๊อบวัย ๒๘ ปี ผู้น่าจะมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาประติมากรของกรมศิลปากรด้วยกัน บอกเหตุผลที่เลือกทำงานทางด้านนี้ว่า

“เพราะเป็นงานที่มีเกียรติ ได้ทำงานให้ประเทศชาติ ได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ฝากไว้ให้แผ่นดิน และต่อไปผลงานของเรา อย่างเช่นงานปั้นอนุสาวรีย์ คนปั้นเสียชีวิตไปแล้ว ๓ ชาติ แต่งานปั้นยังอยู่ เหมือนเช่นผลงานของอาจารย์ศิลป์ (ศ.ศิลป์ พีระศรี) ทุกวันนี้คนยังคงได้เห็นผลงานท่าน ทั้งที่คนทำเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว”

นอกจากทำงานที่ได้รับมอบหมาย อ๊อบยังใช้เวลาส่วนหนึ่งในช่วงพักเที่ยงและหลังเลิกงานของทุกวันไปกับการทำงานศิลปะส่วนตัว โดยเฉพาะการใช้ดินน้ำมันปั้นรูปปั้น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

จากที่ก่อนหน้านี้ ทั้งในช่วงที่ยังเป็นนักศึกษา และหลังจากที่เรียนจบมาระยะหนึ่ง ผลงานศิลปะของเขา ส่วนใหญ่จะเป็นการนำเศษไม้และเศษเหล็ก สร้างสรรค์เป็นงานประติมากรรมในแนวร่วมสมัย

แต่หลังจากที่ค่ำคืนหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแรกๆ ที่เขาเดินทางมาอยู่กรุงเทพฯ ได้หลับและฝันไปว่า … “ในหลวงทรงโบกพระหัตถ์พร้อมกับยื่นนมให้ดื่ม”

นับแต่นั้นมา อ๊อบจึงค่อยๆ หันหลังให้กับเศษไม้และเศษเหล็ก แล้วเปลี่ยนมาหยิบดินน้ำมันปั้นแต่รูปปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“มีความรู้สึกอยากจะปั้นแต่ในหลวง เพราะยิ่งปั้นยิ่งมีความสุข และยิ่งได้สัมผัสแต่สิ่งดีงามในขณะที่ปั้น ทั้งในเรื่องคุณงามความดีที่ในหลวงทรงทำให้ประชาชนของพระองค์ และพระบุคลิกลักษณะของมหาบุรุษ ถ้าเราสังเกต เวลาดูพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง พระองค์ท่านจะไม่ค่อยแย้มพระสรวล แต่การเคลื่อนไหวของโหนกพระปรางค์ บริเวณใต้พระเนตร และพระเนตร ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่า ทรงเป็นผู้ที่มีความเมตตาสูง และลักษณะการเม้มของพระโอษฐ์ ทำให้รู้สึกว่า เป็นผู้ที่หนักแน่น เอาจริงเอาจัง”

ในฐานะที่เคยเห็นงานประติมากรรมมาแล้วมากมาย อ๊อบเชื่อว่าในอนาคตหรืออีกราว ๒๐ ปี ข้างหน้า อนุสาวรีย์ของกษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ซึ่งผู้คนจะสามารถพบเห็นได้มากที่สุดในประเทศไทย คืออนุสาวรีย์ของ รัชกาลที่ ๙ ขณะที่ในปัจจุบัน อนุสาวรีย์ของกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุดยังเป็น รัชกาลที่ ๕

“ดังนั้น ในอีก ๒๐ ปี ข้างหน้า ตัวผมเองก็จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่านี้ จึงฝันไว้ว่า อยากเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์ในประเทศไทย”

ข้าราชการหนุ่มผู้ปรารถนาทำงานให้กับกรมศิลปากรไปจนกระทั่งเกษียณอายุราชการ บอกถึงปณิธานอันแน่วแน่

ปัจจุบัน รูปปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อ๊อบปั้นสะสมไว้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวบอกเล่าว่า เวลาที่มีเงินก็จะนำบางชิ้นไปหล่อบรอนซ์เก็บไว้เพื่อรอโอกาสแสดง

ที่ผ่านมา ใน “วันพ่อ” ๕ ธันวาคม ของทุกปี เขาจะนำผลงานบางชิ้นที่ปั้นขึ้นระหว่างปีออกมาจัดแสดงร่วมกับบรรดาศิลปินและเจ้าหน้าที่ท่านอื่นๆ ของกรมศิลปากร

ในงานวันพ่อ ณ ท้องสนามหลวง ปีล่าสุดก็เช่นเดียวกัน นอกจากรูปปั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงสะพายกล้องและถือแผนที่ ยังมีรูปปั้นในพระอิริยาบถอื่นๆ มาร่วมแสดงด้วย รวมถึงรูปปั้น “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับคุณทองแดง” ชิ้นที่อ๊อบบอกว่า ส่วนตัวชอบปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระอิริยาบถแบบนี้มากที่สุด เพราะดูผ่อนคลาย

และนอกจากความภาคภูมิใจในปัจจุบัน ที่ได้เป็นหนึ่งในทีมประติมากรปั้นช้างเผือกภายในพระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในอีก ๓ ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีพระชนมายุครบ ๙๐ พรรษา อ๊อบได้วางแผนเอาไว้ว่าจะนำรูปปั้นผลงานของตนเองทั้งหมด มาจัดแสดงเป็นนิทรรศการให้คนทั่วไปได้ชม

“ในนิทรรศการอยากให้มีรูปปั้นของพระองค์ท่าน นับตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ กระทั่งปัจจุบัน และอยากจะนำพระบรมฉายาลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่ประทับใจ แต่ยังไม่มีประติมากรท่านไหนนำมาใช้เป็นแบบในการปั้น มาลองปั้นดู น่าจะทำให้ผู้ชมที่รู้สึกดีมากอยู่แล้ว เวลาเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ รู้สึกดีมากขึ้นไปอีก เวลาได้ชมผ่านงานประเภท ๓ มิติ”

มากไปกว่านั้น อ๊อบยังฝันจะปั้นรูปปั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ “คนตาบอด” ได้สัมผัส

“เพราะคนตาบอดแม้จะมองไม่เห็น แต่เขามีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม นอกจากเคยรับรู้หรือซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านผ่านหู ผมอยากให้พวกเขาได้มีโอกาสใช้มือสัมผัสรูปปั้นของพระองค์ท่านดูบ้าง”

ในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้ อ๊อบบอกว่าตนเองเป็นคนหนึ่งที่มีในหลวงเป็นที่พึ่งทางใจและเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต แต่ในด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกน่าเสียดายที่คนไทยจำนวนมาก ยังไม่เลือกปฏิบัติตามแนวทางที่ในหลวงทรงคิดและวางเอาไว้ให้

“ทรงเห็นว่ารากฐานของประเทศเราควรจะมุ่งเน้นไปที่การเกษตร และทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมานาน ปัจจุบันทรงมีพระนามอยู่ในบัญชีรายชื่อเกษตกร จ.เพชรบุรี

ในต่างประเทศ ถ้าใครมีที่ดินอยู่ ๒๐ ไร่ เพื่อทำการเกษตร คนๆ นั้นเรียกได้ว่าโคตรรวย แต่เกษตรกรในบ้านเรามีอยู่ ๒๐ ไร่ หรือมากกว่านั้น ก็ยังโคตรจน เพราะไม่ยอมทำตามแนวทางของพระองค์ท่าน มีที่ดินเยอะก็จริง แต่นำไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไม่ปลูกแบบผสมผสาน

พระองค์ท่านทรงคิดเอาไว้ให้หมดแล้ว ว่าประเทศไทยควรจะเป็นแบบไหน คนไทยควรจะทำอย่างไร ประเทศจึงจะสงบสุข ประชาชนถึงจะมีความสุข แต่พวกเรายังไม่ยอมทำตาม”


Leave a Comment

Your email address will not be published.