บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: news.sanook.com| เผยแพร่เมื่อ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙
นายเลิ้ม ทองสว่าง อายุ ๖๘ ปี อยู่บ้านเลขที่ ๓๙๐ ม.๙ ต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.สุโขทัย ชายผู้อาศัยกระต๊อบหลังเก่าที่เต็มไปด้วยพระบรมฉายาลักษณ์และพระบรมสาทิสลักษณ์ของในหลวง รัชกาลที่ ๙ อีกทั้งยังแขวนไว้ตามตัวอย่างไม่อายสายตาผู้คน นายเลิ้มเปิดเผยว่า เคยมีคนมองว่านายเลิ้มเป็นคนบ้า เคยมีคนว่านายเลิ้มไม่ปกติ แต่นายเลิ้มเองไม่เคยใส่ใจคำพูดเหล่านั้น กว่า ๕ ปี ที่นายเลิ้มนำพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมิทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มาไว้แนบตัว เพราะเชื่อว่าจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล หลังจากนั้นพระบรมฉายาลักษณ์ก็เพิ่มมากขึ้น มากขึ้น จากคนที่พบปะเจอะเจอและมอบให้ รวมถึงสะสมเอง

นายเลิ้มอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูกเต้า ส่วนภรรยานั้นเลิกรากันไปแล้ว นายเลิ้ม มีอาชีพเย็บแหขาย และปั้นลูกกระสุน โดยใช้ดินจากบริเวณรอบบ้าน ในบ้านหลังเล็กๆ หรือกระต๊อบแห่งนี้ มีพระองค์เดียวคือพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งแต่ประตูเข้าไปจนถึงข้างฝาห้อง หัวนอน และที่ห้อยคอกว่า ๓๐ องค์ ล้วนเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมิทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทั้งนั้น

โดยเหตุที่เริ่มต้นนำมากราบเคารพบูชาจนเต็มบ้านนั้น เพราะเมื่อก่อนทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเล่นการพนัน จนวันหนึ่งขณะที่เล่นการพนันอยู่นั้น ได้คิดขึ้นมาวูบในใจว่า “เงินที่นำมาทำในสิ่งที่ผิดนั้น มีรูปพระองค์ท่าน เมื่อรักพระองค์ ทำไมถึงนำพระองค์ลงมาเกลือกกลั้วกับอบายมุข” จึงตัดใจเลิกเหล้า บุหรี่ และการพนัน แล้วนำแบงค์ร้อยที่เหลือมาใส่ถุงพลาสติกนำมาคล้องคอ เพื่อเตือนสติตัวเอง หลังจากนั้น นายเลิ้มและจักรยานคู่ใจ กลายเป็นภาพคุ้นตาของคนสุโขทัย โดยเฉพาะในวันที่ ๕ ธันวาคม ทุกปี นายเลิ้มต้องขี่จักรยานระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร เพื่อไปร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรที่ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย

เมื่อถึงคราวทราบข่าวว่าพระองค์เสด็จสวรรคต นายเลิ้มเปลี่ยนความเสียใจ เป็นการรอคอยข่าวทางทีวี และชื่นชมพระองค์ผ่านทางโทรทัศน์ จนนายนภดล ทองสว่าง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๙ เป็นห่วงนายเลิ้มจะเศร้าซึม จึงประสานเจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน รพ.สต.บ้านกล้วย นายวรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ที่นายเลิ้มคุ้นเคยเพราะต้องไปรับยาโรคความดันโลหิตสูงเป็นประจำ มาคอยพูดคุยและเฝ้าระวังไม่ให้นายเลิ้มเครียดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและเทิดทูนของปวงชนชาวไทย