บทความนี้เป็นบทความที่คัดลอกมา
ที่มา: คมชัดลึก | เผยแพร่เมื่อ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างยิ่งว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระปรีชาชาญในศิลปศาสตร์หลากหลายด้าน และศาสตร์หนึ่งที่พระองค์สนพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งคือ “การฉายภาพ” ซึ่งพระองค์ทรงศึกษาศาสตร์ด้านนี้ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ ขณะที่ประทับในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา
พระองค์ทรงศึกษาศาสตร์การฉายภาพจนทรงพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงใช้กล้องในยุคต่างๆ ตั้งแต่ยุคฟิล์ม ๑๓๕ ฟิล์ม ๑๒๐ จนถึงกล้องดิจิทัลในปัจจุบัน อย่างเชี่ยวชาญ สมัยที่ยังทรงใช้กล้องฟิล์ม ยังสนพระราชหฤทัยในด้านการล้างฟิล์มและอัดขยายภาพด้วยพระองค์เอง จึงทรงสร้างห้องมืดสำหรับการล้างฟิล์มและอัดภาพได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยพระองค์เอง ณ บริเวณชั้นล่างตึกที่ทำการสถานีวิทยุ อ.ส. เพื่อที่จะได้ทรง “สร้างภาพ” ในแบบงานศิลป์ตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้

ในยุคแรกๆ นั้น กล้องส่วนพระองค์เป็นรุ่นที่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเหลือในการถ่ายภาพมากนัก เช่น ระบบวัดแสง หรือระบบการจับโฟกัสอัตโนมัติเช่นปัจจุบัน ทำให้พระองค์ต้องทรงใช้พระวิจารณญาณอย่างมาก และละเอียดกว่าที่จะทรงฉายภาพได้สักภาพหนึ่ง
เมื่อครั้งที่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติใหม่ๆ โปรดที่จะฉายภาพสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระราชโอรสและพระราชธิดา โดยเฉพาะเมื่อได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ซึ่งมีภูมิประเทศที่สวยงามเหมาะแก่การถ่ายภาพ
ด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ โปรดการฉายภาพ และทรงฉายภาพต่างๆ อยู่เป็นประจำ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เคยไปปรากฏตามหน้านิตยสาร เมื่อราวปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ได้ปรากฏอยู่ใน “นิตยสารแสตนดาร์ด” ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ครั้งนั้นมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า “ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันก็ยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์แสตนดาร์ด ได้เงินเดือนละ ๑๐๐ บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที เขาก็คงถวายเดือนละ ๑๐๐ บาท อยู่เรื่อยมา”

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงเป็นเจ้าของกล้องตัวแรกคือ Coronet Midget ตั้งแต่ทรงพระชนมพรรษา ๘ พรรษา โดยสมเด็จพระบรมราชชนนีพระราชทาน กล้องรุ่นนี้เป็นของฝรั่งเศสมีราคาราว ๒ ฟรังก์สวิส และใช้ฟิล์มราคาราว ๒๒ เซนต์ ซึ่งถือว่ามีราคาถูกกว่ารุ่นอื่นๆ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๙ เมื่อครั้งยังประทับที่สวิตเซอร์แลนด์
ต่อมาทรงใช้กล้องอีกกล้องหนึ่ง คือ Kodak Vest Pocket Montreux ที่มีลักษณะคล้ายกล่องสี่เหลี่ยม จนได้รับฉายาว่า “มินิบ็อกซ์” โดยกล้องรุ่นนี้สามารถใช้ฟิล์มแบบม้วน ม้วนละ ๖ ภาพ จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ พระองค์ทรงมีกล้อง Elax Lumie’re ซึ่งผลิตในฝรั่งเศส อีกหนึ่งกล้อง ทรงใช้จนเชี่ยวชาญเป็นอย่างดีกับกล้องนี้ เพราะเหมาะกับพระหัตถ์มาก หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็น Elax Lumie’re อีกกล้องหนึ่ง
มีบันทึกว่า เมื่อครั้งยังทรงพระราชอิสริยยศ “สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช” และทรงตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทย พระองค์ทรงใช้กล้อง Elax Lumie’re บันทึกภาพระหว่างตามเสด็จโดยตลอด แสดงให้เห็นว่าพระองค์ท่านสนพระราชหฤทัยทางการฉายภาพเป็นอันมาก

หลังจากนั้นทรงทดลองใช้กล้อง Linhof จากเยอรมนี ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เป็นผลิตผลของการเร่งพัฒนากล้องคุณภาพออกมาแข่งขันในตลาดโลก แต่ไม่โปรด เนื่องจากตัวกล้องไม่เหมาะกับพระหัตถ์ ทั้งยังทรงใช้กล้องจากสวีเดน อย่าง Hasselblad SLR ที่ใช้ฟิล์ม ๑๒๐ ที่มีขนาดใหญ่ถึง ๓ นิ้ว สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ ใส่ฟิล์มได้หลากหลายชนิด หลากหลายขนาด พระองค์โปรดกล้อง Hasselblad SLR และทรงใช้อยู่หลายปี จนเมื่อกล้องประจำพระองค์เกิดปัญหาแสงรั่ว จึงต้องส่งกลับไปซ่อมยังโรงงานที่สวีเดน พระองค์จึงทรงเลิกใช้งานกล้องรุ่นนี้ไป
จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ทรงเลือกใช้กล้องรุ่น Ikoflex กล้องสะท้อนภาพแบบเลนส์คู่ ของบริษัท Zeiss ikon ซึ่งเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างมาก จึงทรงใช้กล้องรุ่นนี้อยู่นาน และรับสั่งชมกล้องกล้องนี้ว่า ใช้ง่าย เลนส์ดี ได้ภาพสวยคมชัดดีมาก จนเมื่อ Zeiss ikon ออกกล้องรุ่น Contax-s ที่เป็นกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว (Single Lens Reflex) ก่อนที่จะพัฒนาออกมาเป็น Contax-II ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ซึ่งพระองค์ทรงใช้กล้อง Contax-II กับเลนส์ Zeiss-opton No.821255 กับ Zeiss-opton No.885584 Sonar 1:2 f.50 mm. และเป็นที่พอพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง ทรงนำไปใช้ในโอกาสต่างๆ เป็นประจำ เพราะเป็นกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ และ มีระบบวัดแสงในตัว
นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงใช้กล้อง Leica M โดยเป็นกล้องมือสอง ทรงใช้อยู่ระยะหนึ่ง เช่นเดียวกับกล้อง Super ikonta ของบริษัท Zeiss ikon ใช้ฟิล์มเบอร์ ๑๒๐ ได้ภาพ ๖×๙ ซม. ๘ ภาพ หรือสามารถแบ่งเป็นภาพ ๖×๔.๕ ซม. ๑๖ ภาพ ทรงใช้อยู่ระยะหนึ่ง แต่มีข้อเสียคือ ฟิล์มหมดม้วนเร็วเกินไป จึงพระราชทานแก่หัวหน้าช่างภาพประจำพระองค์ในสมัยนั้น (นายอาณัติ บุนนาค) ใช้ในงานราชการต่อไป
พระองค์ยังโปรดกล้อง Robot Royal รหัส G 125721 Mod 111 Lens : Schneider-Kreuznach Xenon 1.1.9/3542375 เป็นกล้องที่ใช้ฟิล์มเบอร์ ๑๓๕ ภาพที่ได้เป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ลักษณะกล้องป้อมกะทัดรัด เพราะเหมาะพระหัตถ์
ในกาลต่อมา สถานทูตรัสเซียทูลเกล้าฯ ถวายกล้องยี่ห้อ Kiev แด่พระองค์ ในวาระที่สถานทูตเปิดร้านของประเทศรัสเซียในงานฉลองวันรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นกล้องที่คล้ายกับ Zeiss Ikon ที่ทรงเคยใช้ ดังนั้นจึงทรงรับไว้ และเข้าพระราชหฤทัยในระบบการทำงานทุกขั้นตอน

ต่อมาในยุคที่ผู้ผลิตกล้องในประเทศญี่ปุ่นเริ่มมีความแข็งแกร่ง สามารถผลิตกล้องออกมาในระดับโลกได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ จึงสนพระราชหฤทัยกล้องจากประเทศญี่ปุ่น และทรงเริ่มต้นจากการใช้กล้อง Canon-7 เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ที่แม้จะเป็นกล้องที่มีช่องมองภาพ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ จึงไม่สามารถทำงานได้ตามพระราชประสงค์มากเท่าไหร่
พระองค์ทรงเปลี่ยนมาใช้กล้อง Canon A-1 ที่เป็นกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยว ที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นจากรุ่น Canon-7 เพราะเป็นกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ มีการทำงานทั้งสองระบบ ทั้งแบบ Manual และ Auto ซึ่งดูจะเป็นที่พอพระราชหฤทัย ทรงมีกล้องรุ่นนี้อยู่สองกล้อง คือ กล้องแรก Canon A1 รหัส 2097120 กับเลนส์มาตรฐาน 50 มิลลิเมตร รุ่น FD 1:1.4/50 mm. รหัส 2052111 และ อีกกล้องหนึ่งคือ Canon A1/ รหัส 2307372 กับเลนส์ Tokina Zoom 35-105 mm. F 1:3.5-4.3
ต่อมาทรงมีกล้องรุ่นใหม่ๆ แบบอัตโนมัติคือ กล้อง Canon 35 Autofocus Lens f=38 mm. เป็นกล้องขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ทรงใช้อยู่พักหนึ่ง มีพระราชปรารภว่า ใช้ง่ายเกินไป และไม่ค่อยเหมาะกับพระหัตถ์มากนัก
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตกล้องของญี่ปุ่นอีกค่ายหนึ่ง อย่าง นิคอน ก็สามารถผลิตกล้องที่ได้รับความนิยมมากขึ้น อย่างเช่น กล้องรุ่น Nikon F3 ที่เน้นการออกแบบที่แปลกใหม่ นำสมัย ใช้วัสดุที่แข็งแรง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงใช้กล้องรุ่นนี้พร้อมเลนส์มาตรฐาน และเลนส์ซูมขนาด 35-105 mm. อยู่พักหนึ่ง
เมื่อคราวเสด็จประพาสต่างประเทศ ก็ทรงใช้กล้อง Nikon รุ่น F3 นี้บันทึกภาพเป็นที่พอพระราชหฤทัยมาก ทว่ามีน้ำหนักมากไปนิด จึงพระราชทานให้เป็นสมบัติของช่างภาพส่วนพระองค์มาจนกระทั่งทุกวันนี้
ในช่วงเวลาที่กล้องถ่ายภาพประเภททำงานด้วยอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทดลองใช้กล้องรุ่นใหม่เหล่านี้ ตั้งแต่ Canon EOS 650 และต่อมาก็ทรงทดลองใช้รุ่น EOS 620 อีกรุ่นหนึ่ง ขณะเดียวกัน ทางค่าย Nikon ก็ออกรุ่น F401s เป็นรุ่นที่มีแฟลชในตัว ซึ่งมี Image Master Control สามารถใช้เลนส์ปรับระยะชัดอัตโนมัติได้ ใช้เลนส์ 35-105 mm. f3.5-4.5
อีกยี่ห้อหนึ่งที่ออกมาสร้างความแปลกใหม่ ให้แก่วงการถ่ายภาพคือ Minolta Dynax 5000i สร้างความสะดวกสบายและถ่ายภาพได้ผลเที่ยงตรง ออกแบบได้แปลกใหม่ และเพิ่มการสร้างสรรค์ผลงานด้วยระบบการ์ด (Creative Expansion Card System) มีหลายแบบ อาทิ ถ่ายภาพกีฬา ถ่ายภาพบุคคล เป็นต้น
กล้องรุ่นใหม่สะท้อนภาพเลนส์เดี่ยวแบบถอดเปลี่ยนเลนส์ได้เหล่านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทดลองใช้เพื่อศึกษาความก้าวหน้าของกล้องถ่ายภาพ ในขณะเดียวกันทรงทดลองใช้กล้องคอมแพ็คแบบต่างๆ หลายรุ่น เช่น Canon-HIS Lens Canon Zoom EF28-80mm., Canon Autoboy Tele 6 Lens 35-60 mm. f/3.5-5.6., Canon Zoom Xl Lens Zoom 39-85 mm f/3.6-7.3, Ricoh FF-9D Lens 35 mm f/3.5, Pantax AF Zoom 35-70 mm. กับ Minolta Weather Matic 35DL และ Nikon TW Zoom
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงจับสลากได้รางวัลกล้อง RICOH EF-9D LENS 35 mm. f 1:35 พอในปีต่อมา จึงพระราชทานเป็นของขวัญจับสลากต่อไป กล้อง PENTAX AF ZOOm 35-70 mm. กับ MONOLTAL WEATHER MATIC 35 DL และ NIKON TW ZOO
ด้วยพระอัจฉริยภาพด้านการฉายภาพ และเข้าพระราชหฤทัยถึงฟังก์ชั่นของกล้องถ่ายภาพที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี อันสะท้อนให้เห็นว่า พระองค์ใส่พระราชหฤทัยที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่องานของพระองค์ โดยเฉพาะในทุกๆ ครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและทรงเยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์ กล้องและยุคสมัยของพระองค์ คือเครื่องมือบันทึกเรื่องราวของราษฎรผ่านสายพระเนตร และคมเลนส์ที่พระองค์ทรงเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม แน่นอนว่า นอกเหนือจากภาพส่วนพระองค์แล้ว แทบทุกภาพที่พระองค์ทรงบันทึกเอาไว้ย่อมถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อพสกนิกรของพระองค์
อ้างอิง: pantip.com, mblog.manager.co.th